อุปสรรคในการสื่อสาร การตัดสินตีความ

อุปสรรคในการสื่อสาร การตัดสินตีความ

การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นได้ หากเราสื่อสารกันอย่างเข้าใจ ทั้งเข้าใจในสารที่สื่อและเข้าใจในตัวบุคคลที่เราสื่อสารด้วย แล้วอะไรบ้างที่เป็นตัวขัดขวางให้การสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพ วันนี้ อ.ก้อย จะมาบอกเล่าอุปสรรคที่สำคัญอันใหญ่อันนึงเลยค่ะ คือ การตัดสินตีความ

บ่อยครั้งที่เรามีการตัดสินตีความ แล้วสื่อสารสิ่งนั้นออกไปโดยไม่ทันรู้ตัวว่าเราทำแบบนั้น เช่น 

•หัวหน้าบอกลูกน้องว่า “คุณทำงานแย่มาก” หรือ “คุณไม่ตั้งใจทำงาน” 

•แม่บอกลูกว่า “ลูกดื้อมาก” 

•แฟนบอกว่า “เธอไม่เคยใส่ใจฉันเลย”

 

การสื่อสารแบบตัดสินตีความ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกในทางลบ เช่น ไม่พอใจ โกรธ เสียใจ เศร้าใจ เป็นต้น และทำให้ไม่มีทางออกที่ดีในการสนทนา คนฟังอาจเงียบไม่พูด หรือพูดแต่พูดด้วยอารมณ์เหมือนการเถียงกันมากกว่า แล้วเราจะปรับการสื่อสารของเราอย่างไรให้ไม่เป็นการตัดสินตีความ วันนี้ อ.ก้อย มีตัวช่วยมาให้ 2 อย่างค่ะ คือ

 

1 การสื่อสารด้วยข้อสังเกต โดยหลัก PLATO

 P Person บุคคล เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจากใคร หรือกลุ่มคนกลุ่มไหน

 L Location สถานที่ เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน บริเวณไหน

 A Action คนที่พูดถึงนั้นทำพฤติกรรมอะไร

 T Time เวลา เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หรือเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน

 O Object เหตุการณ์นั้นใคร หรืออะไรเป็นผู้ถูกกระทำ

 

ตัวอย่าง

     หัวหน้าพูดว่า “คุณทำงานแย่มาก” เมื่อเปลี่ยนเป็นข้อสังเกตด้วยหลัก PLATO 

 P คุณ (ลูกน้อง)

 L ทางอีเมล

 A ส่งรายงานประจำสัปดาห์

 T วันจันทร์ที่ผ่านมา และ 2 สัปดาห์ติดกัน

 O หัวหน้าเป็นผู้ถูกกระทำ

     เมื่อรวมประโยคใหม่ตามหลัก PLATO จะได้ประโยคสื่อสารแบบข้อสังเกตให้หัวหน้าว่า “คุณส่งรายงานประจำสัปดาห์ให้ผมทางอีเมลในวันจันทร์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ติดกัน” และอาจพูดเสริมเพิ่มในสิ่งที่ต้องการ เช่น “ผมอยากให้คุณส่งรายงานตามกำหนดการจริงคือทุกวันศุกร์” เป็นต้นค่ะ

     จะสังเกตเห็นได้ว่า เมื่อเราเปลี่ยนประโยคจากการตัดสินตีความ เป็นการสื่อสารตามข้อสังเกต ความรู้สึกของคนพูดและคนฟังจะเบาลง คนฟังก็รู้สึกต่อต้านน้อยลง ทำให้การสื่อสารนี้เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์หรือมีทางออกค่ะ

 

2 การถาม และการฟัง 

     การถามและการฟังเป็นอีกสิ่งที่สำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้นค่ะ สิ่งสำคัญในการถาม คือ การอยากเข้าใจมุมมอง หรือความคิดของผู้อื่น หรือเข้าใจโลกในแบบของเขา คำถามปลายเปิดจะช่วยให้เราได้ข้อมูลเพิ่ม คู่สนทนาจะเล่าเรื่องราวของเขาได้มากขึ้น และเมื่อเราได้ฟังก็จะเข้าใจเขามากขึ้น คำถามปลายเปิด ได้แก่ คำถามที่มีคำว่า ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ส่วนคำถามปลายปิด คือ คำถามที่ใช้เพื่อการยืนยัน หรือเช็คความเข้าใจ มักใช้คำว่า ใช่หรือไม่ ใช่ไหม เป็นต้น

     ตัวอย่างคำถามปลายเปิดกับบทสนทนาข้อ 1 (“คุณส่งรายงานประจำสัปดาห์ให้ผมทางอีเมลในวันจันทร์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ติดกัน”) เลือกคำถาม “อะไร” เมื่อนำมารวมกันในการสื่อสาร จะได้ว่า “ผมสังเกตเห็นว่า คุณส่งรายงานประจำสัปดาห์ให้ผมทางอีเมลในวันจันทร์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ติดกัน เกิดอะไรขึ้นกับคุณ คุณเล่าให้ผมฟังได้นะ เราจะได้มาช่วยกันหาทางแก้” 

     สิ่งสำคัญในการสื่อสาร คือ การสื่อสารด้วยใจ อย่างเข้าใจ ค่ะ และลองสังเกตดูว่าระหว่างวัน เราสื่อสารแบบตัดสินตีความ หรือแบบข้อสังเกตนะคะ แล้วลองไปปรับใช้ดูนะคะ  

     ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการทำงานและการใช้ชีวิต ด้วยการสื่อสารด้วยใจอย่างเข้าใจค่ะ

     อ.ก้อย 

อาจารย์ เภสัชกรหญิง ธันยพร จารุไพศาล (อ.ก้อย)

โค้ชและวิทยากรด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

(Performance coach and trainer)

 

E-mail: tunyaponj@gmail.com

line ID: koytunyapon

Tel: 082-415-1462 (โทรกลับเฉพาะเบอร์มือถือนะคะ)

Visitors: 79,446